เมื่อ : 28 ส.ค. 2566

 

ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI) ที่สามารถทลายขีดจำกัดของมนุษย์ และพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังเช่น ChatGPT และ Midjourney ที่ทำงานได้ซับซ้อนมากขึ้น 

 

ทำให้ทุกวันนี้ทั่วโลกไม่อาจปฏิเสธต่อการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับกิจกรรมแทบทุกภาคส่วน เช่น ด้านอุตสาหกรรม การเกษตร การแพทย์ การศึกษา การท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในด้านการตลาด AI ยังมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ เจาะลึกพฤติกรรมลูกค้า และสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่เป็นกระแสความนิยมบนโซเชียลมีเดีย

 

เพื่อสร้างยอดขายให้ธุรกิจ ขณะที่หน่วยงานภาครัฐเริ่มนำ AI มาใช้เพิ่มคุณภาพการบริหาร การให้บริการ รวมถึงการร้องเรียนต่าง ๆ เพื่อดูแลประชาชนได้อย่างทั่วถึง หากแต่ว่าแม้ AI จะมีคุณอนันต์ ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดโทษมหันต์ได้ หากรู้ไม่เท่าทัน นำไปใช้ในทางที่ผิด หรือไม่มีหน่วยงานที่พร้อมกำกับดูแลใกล้ชิด
 

 

 

เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการพัฒนา AI ที่จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจ ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในทุกมิติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำ “แผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พ.ศ. 2565–2570” (Thailand National AI Strategy and Action Plan 2022-2027) 

 

โดย สวทช. และ สดช. ร่วมเป็นเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนฯ ซึ่งปัจจุบันดำเนินงานมาครบรอบ 1 ปี จึงจัดแถลงข่าว “1 ปี แผนปฏิบัติการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน Medical AI” (เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566) ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารพระจอมเกล้า กระทรวง อว.

 

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการร่วมของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า การจัดทำแผนปฏิบัติการ AI ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านจริยธรรมและธรรมาภิบาล มีการจัดทำคู่มือจริยธรรม AI เล่มแรกของไทย การจัดหลักสูตรจริยธรรมที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และการเปิดตัวศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ AI อย่างถูกต้องและมีความรับผิดชอบ 

 

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI บนคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) รวมทั้งเปิดให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน และอันดับที่ 70 ของโลก สำหรับการวิจัยและพัฒนาของภาครัฐและเอกชน
“ด้านการพัฒนากำลังคน ขณะนี้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนากำลังคนด้าน AI ได้เห็นชอบภาพรวมข้อเสนอการพัฒนากำลังคนด้าน AI เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะความรู้ความเชี่ยวชาญด้าน AI ในทุกระดับและทุกสาขาตรงตามความต้องการของเอกชน 

 

 

 

ส่วนผลงานด้านนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้ เช่น มีหน่วยงานภาครัฐใน 76 จังหวัด นำระบบวิเคราะห์เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาความยากจนแบบชี้เป้า (TPMAP) เข้าไปขับเคลื่อนการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัย ทั้งนี้จากการดำเนินงานขับเคลื่อนตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆ ส่งผลให้ปัจจุบันมีบุคลากรเข้ารับการอบรมในโครงการและหลักสูตร AI  จำนวน 83721 คน 

 

มีโครงการวิจัยและพัฒนาด้าน AI ในกองทุนวิจัยมูลค่า 1290 ล้านบาท มีสตาร์ตอัปลงทุนเพิ่มจากการส่งเสริมของรัฐมูลค่า 639 ล้านบาท และที่สำคัญคือจากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ประเทศไทยเลื่อนอันดับขึ้นจาก 59 เป็น 31 ทันทีที่มีแผนปฏิบัติการ AI ในปีที่ผ่านมา (ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดการดำเนินงานเพิ่มเติมได้ที่ https://www.ai.in.th)”

 

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตัวอย่างผลงานการประยุกต์ใช้ AI ที่จะเป็นก้าวสำคัญสู่การขับเคลื่อนวงการแพทย์ คือ การพัฒนาเครือข่ายและแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ หรือ Medical AI Data Sharing 

 

โดยวันนี้มีการลงนามความร่วมมือ เรื่อง “การวิจัยพัฒนาชุดข้อมูลและนวัตกรรม เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์ด้านปัญญาประดิษฐ์ทางการแพทย์” ระหว่าง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ สวทช. 

 

 

 

ภายใต้การสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.)
 

“ปัจจุบันประเทศไทยเริ่มนำ AI เข้ามาประยุกต์ใช้ทางการแพทย์มากขึ้น แต่โจทย์ใหญ่คือการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเปิดด้านการแพทย์ที่เปิดโอกาสให้นักวิจัยด้าน AI เข้าถึง เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ป่วย รวมถึงการขาดการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน 

 

ดังนั้นความร่วมมือในการพัฒนา Medical AI ของทั้ง 3 หน่วยงานในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้นักวิจัยด้าน AI ได้เข้าถึงคลังข้อมูลทางการแพทย์ เช่น ภาพเอกซเรย์ทรวงอก ภาพ MRI/CT มะเร็ง ภาพจอประสาทตา (โดยข้อมูลมีการจัดการด้านข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ผ่านคณะกรรมการ Medical AI DATA Consortium) 

 

เพื่อให้สามารถนำความเชี่ยวชาญด้าน AI เข้าไปส่งเสริม ขยายผล และต่อยอดการใช้ประโยชน์ของข้อมูล ดังเช่น กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนา “AIChest4All” ซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้แพทย์คัดกรองผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด วัณโรค โรคทรวงอก และความผิดปกติอื่น ๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำใน 1 นาที 

 

 

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ