เมื่อ : 22 ธ.ค. 2568

 

 เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ณ วาระเวลา การ์เด้น ฮอลล์ โดยมีนายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คปภ. เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของสำนักงาน คปภ. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแถลงสรุปผลงานและทิศทางการดำเนินงานของสำนักงาน คปภ. ภายใต้หัวข้อ “คปภ. ขับเคลื่อนอนาคตประกันภัยไทย สู่ความมั่นคงและยั่งยืน” (OIC : Next Chapter – Driving the Future of Insurance towards Stability and Sustainability) โดยมีสื่อมวลชนสายประกันภัย สายเศรษฐกิจ และสายการตลาดที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม


เลขาธิการ คปภ. กล่าวถึงการขับเคลื่อนระบบประกันภัยไทยในปี 2568 ที่ผ่านมาว่า สำนักงาน คปภ. ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญท่ามกลางบริบทความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี โครงสร้างประชากร และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยมุ่งยกระดับการกำกับดูแลเชิงรุกบนฐานข้อมูล (Data-Driven Regulation) ควบคู่กับการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลให้สอดคล้องกับหลักสากล และการเสริมสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ระบบประกันภัยไทยมีความเข้มแข็ง สามารถรองรับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน 

 

โดยมีกรอบการขับเคลื่อนผ่าน 13 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ภาพรวมธุรกิจประกันภัย ปี 2568 ข้อมูลภาพรวมธุรกิจประกันภัย ประจำปี 2568 สำนักงาน คปภ. ประเมินว่า การดำเนินธุรกิจประกันภัยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนในหลายมิติ ทั้งจากทิศทาง อัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ต้นทุนการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ยังคงมีความระมัดระวัง อย่างไรก็ดี จากข้อมูลภาพรวมอุตสาหกรรมประกันภัย ปี 2568 คาดว่าธุรกิจประกันภัยทั้งระบบจะมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมประมาณ 969117 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.15 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการเติบโตภายใต้บริบทความเสี่ยงที่ยังคงอยู่ในระดับสูง  เมื่อพิจารณาแยกตามประเภท พบว่าธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 675957 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 3.51 ขณะที่ธุรกิจประกันวินาศภัยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงประมาณ 293220 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 2.33 

 

โดยโครงสร้างการเติบโตดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน ในด้านการบริหารความเสี่ยงระยะยาว การออม และการคุ้มครองสุขภาพที่เพิ่มขึ้นท่ามกลาง       ความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจและสังคม


ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวในระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ การเร่งรัดการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ทยอยปรับดีขึ้น ประกอบกับการเข้าสู่ช่วงปลายปีซึ่งเป็นฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและช่วงการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่งผลให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะด้านการออม การคุ้มครองสุขภาพ และการบริหารความเสี่ยงของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ภายใต้บริบทดังกล่าว สำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการติดตามและประเมินทิศทางอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเติบโตของธุรกิจประกันภัยเป็นไปอย่างมีคุณภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงสะสมในระบบ และสามารถทำหน้าที่ เป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงินของประเทศในระยะยาว


 

 

ประเด็นที่ 2 ความสำเร็จของเวทีการประชุม OIC Meets CEO เพื่อยกระดับความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมประกันภัยไทย    การประชุม OIC Meets CEO จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่สอง โดยเป็นเวทีสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลและภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยไทยให้เติบโตอย่างมั่นคง มีเสถียรภาพ และยั่งยืน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของนโยบายและการปฏิบัติจริง โดยประชาชนจะได้รับประโยชน์จากระบบประกันภัย  ที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมมากขึ้น ผ่านการยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ลดความล่าช้าในการพิจารณาสินไหมและข้อร้องเรียน รวมถึงการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถและการป้องกันการฉ้อฉลด้านประกันภัย

 

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจประกันภัยได้รับความชัดเจน  ด้านทิศทางกฎเกณฑ์และนโยบายสำคัญ เช่น RBC IFRS 17 ESG และการบริหารความเสี่ยง ทำให้สามารถปรับตัวเชิงรุก วางแผนการดำเนินงานได้อย่างมีเสถียรภาพ และลดต้นทุนความเสี่ยงในระยะยาว การประชุม OIC Meets CEO จึงเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงนโยบายกับการปฏิบัติ ช่วยให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองที่มีคุณภาพ ภาคธุรกิจมีทิศทางที่ชัดเจน และระบบประกันภัยไทยสามารถสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม


ประเด็นที่ 3 เรื่องการยกระดับการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) สำนักงาน คปภ. เดินหน้ายกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยของไทย โดยนำแนวทางการกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision : GWS) ตามหลักการสากลมาปรับใช้ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างธุรกิจประกันภัยในปัจจุบันที่มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มธุรกิจและขยายการลงทุนในกิจการที่เกี่ยวเนื่องมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส เสริมเสถียรภาพ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมประกันภัยไทยในระยะยาว การกำกับดูแลแบบรวมกลุ่ม (Group-Wide Supervision) แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่

ระดับ Solo Consolidation กำกับดูแลบริษัทประกันภัยและบริษัทลูกที่มีอำนาจควบคุมในหลักการเดียวกับการกำกับบริษัทประกันภัย  ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว และระดับ Full Consolidation กำกับดูแลในระดับบริษัทแม่สูงสุดของบริษัทและนิติบุคคลที่บริษัทมีอำนาจควบคุมหรือถือหุ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม ตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป หรือบริษัทร่วม หรือบริษัทลูก ซึ่งคาดว่าจะออกหลักเกณฑ์ได้ภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 


 

 

ประเด็นที่ 9 โครงการ ร้านอาหารอุ่นใจ มีประกันภัยคุ้มครอง สำนักงาน คปภ. ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันวินาศภัย ขับเคลื่อนโครงการ “ร้านอาหารอุ่นใจ มีประกันภัยคุ้มครอง” เพื่อส่งเสริมให้ร้านอาหารเข้าถึงการประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค 

โดยเริ่มนำร่องในจังหวัดขอนแก่น พร้อมมอบตราสัญลักษณ์ให้ร้านที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งถือเป็นการนำแนวคิด Embedded Insurance มาใช้จริง           ทำให้ระบบประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของบริการร้านอาหาร 

 

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ตั้งเป้าขยายจำนวนร้านอาหารที่ทำประกันภัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1000 จาก 30 ร้านในปี 2568 เป็นไม่น้อยกว่า 300 ร้านในระยะถัดไป ควบคู่กับการ พัฒนาระบบลงทะเบียนและการสร้างความรู้ ให้ผู้ประกอบการในปี 2569 โดยโครงการดังกล่าวช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของร้านอาหาร เพิ่มความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค สนับสนุนรายได้และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ตลอดจนขยายฐานตลาดประกันภัยกลุ่ม SME และภาคธุรกิจบริการ สะท้อนบทบาทของระบบประกันภัยในฐานะกลไกบริหารความเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน


 

 

ประเด็นที่ 10 การจัดทำแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2569–2573) ถือเป็น หมุดหมายสำคัญ ของการยกระดับระบบประกันภัยไทยในภาพรวม โดยแผนฉบับนี้มิใช่เพียงแผนงานของหน่วยงานกำกับดูแล หากแต่เป็น Blueprint สำคัญในการยกระดับระบบประกันภัยไทยทั้งระบบ เพื่อให้พร้อมเผชิญอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน 

 

ภายใต้แนวคิดหลักว่าระบบประกันภัยเป็นกลไกผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจ และเป็นเครื่องมือจัดการความเสี่ยงของประเทศ” โดยมุ่งเสริมความเข้มแข็งของภาคประกันภัย ยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลให้สอดคล้องหลักสากล และผลักดันการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างระบบประกันภัยที่มีความยืดหยุ่น แข็งแกร่ง พร้อมรองรับภัยขนาดใหญ่และความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ส่งเสริมการเข้าถึงประกันภัยอย่างทั่วถึงรองรับสังคมสูงวัยระดับสุดยอด และพัฒนาระบบนิเวศข้อมูลประกันภัยที่เชื่อมโยงและใช้เทคโนโลยีอย่างมี     ความรับผิดชอบ ให้ระบบประกันภัยไทยมีความทันสมัย โปร่งใส และเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน


ประเด็นที่ 11 การจัดทำหลักสูตรพัฒนาบุคลากรประกันชีวิตนานาชาติ ASEAN Life Insurance Leadership Program (ALIP)  เป็นการขับเคลื่อนตามแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ 5 เพื่อยกระดับศักยภาพบุคลากรและสร้างเครือข่ายผู้นำด้านประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน 

โดยสำนักงาน คปภ. ร่วมกับกองทุนประกันชีวิต และสมาคมประกันชีวิตไทย จัดทำหลักสูตรโครงการ ALIP โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากสำนักงาน คปภ. และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันชีวิตในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ ลาว กัมพูชา บรูไน ฟิลิปปินส์ และเมียนมา 

 

 

 

รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทประกันชีวิตของไทยและภูมิภาคอาเซียนมาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ยกระดับศักยภาพ และร่วมกันออกแบบอนาคตของระบบประกันชีวิต ในระดับภูมิภาค เข้าร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการบริหาร ความเสี่ยงใหม่ ความยั่งยืน และนวัตกรรมดิจิทัล

 

โดยโครงสร้างหลักสูตรแบ่งเป็น 4 Modules ได้แก่ การสำรวจพรมแดนใหม่ของธุรกิจประกันชีวิตอาเซียน การวางกลยุทธ์การเติบโตและความยืดหยุ่นขององค์กร การขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน และการเปิดโลกแห่งนวัตกรรม ภายใต้กรอบการดำเนินงาน 3 แกนหลัก คือ Reinforce การเสริมสร้างองค์ความรู้และ      ศักยภาพบุคลากร Connect การเชื่อมโยงเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาค และ Elevate การยกระดับความร่วมมือเชิงนโยบาย         จึงนับว่าเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันบทบาทของประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Center of Insurance Excellence อย่างเป็นรูปธรรม 


ประเด็นที่ 12 มาตรการทางภาษีเพื่อสังคมสูงวัย สร้างความมั่นคงทางการเงินและสุขภาพ สำนักงาน คปภ. เห็นความสำคัญของการประกันชีวิตแบบบำนาญเพื่อเป็นทางเลือกหลักในการสร้างหลักประกันรายได้ยามเกษียณสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม รวมถึงการพัฒนารูปแบบบำนาญให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้สามารถจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญในรูปแบบเป็นเงินก้อนจำนวนหนึ่ง เมื่อเริ่มรับเงินบำนาญครั้งแรก (Lump-Sum) จากเดิมที่จ่ายเป็นจำนวนที่เท่ากันและเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดเท่านั้น เพื่อให้ผู้เอาประกันภัย ณ วันที่เริ่มเกษียณอายุสามารถรับผลประโยชน์เป็นเงินก้อน เพื่อนำไปใช้ในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งรูปแบบดังกล่าว   จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่หลากหลายและยังคงได้รับสิทธิการยกเว้นภาษี


ประเด็นที่ 13 มาตรการช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูของสำนักงาน คปภ. เมื่อเกิดภัยพิบัติหรืออุบัติภัย สำนักงาน คปภ. ดำเนินการทันทีใน 3 ระยะสำคัญ ได้แก่ การช่วยเหลือ โดยตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์ สั่งการให้บริษัทประกันภัยลงพื้นที่ประเมิน        ความเสียหาย และออกมาตรการผ่อนผันแก่ผู้เอาประกันภัยและคนกลางประกันภัย การเยียวยา โดยกำชับให้บริษัทประกันภัยเร่งพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม พร้อมสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนเข้าใจสิทธิของตนเองอย่างชัดเจน และการฟื้นฟู โดยสำนักงาน คปภ. ทำหน้าที่ประสานความร่วมมือและสนับสนุนการบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ทั้งนี้ ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบข้อมูลความคุ้มครองผ่านแอปพลิเคชัน OIC Connect ได้ตลอดเวลา

  

 

 

สะท้อนบทบาทของสำนักงาน คปภ. ในการคุ้มครองสิทธิและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมไทยในทุกวิกฤตอย่างเป็นรูปธรรม
การขับเคลื่อนทั้ง 13 ภารกิจสำคัญในปี 2568 สะท้อนถึงทิศทางการทำงานของสำนักงาน คปภ. ที่มุ่งยกระดับระบบประกันภัยไทยอย่างรอบด้าน ทั้งในมิติการคุ้มครองประชาชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ภาคธุรกิจ และการสนับสนุนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ

 

โดยสำนักงาน คปภ. ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลเชิงรุก การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเป็นฐาน รวมถึงการทำงานร่วมกับ  ทุกภาคส่วนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ระบบประกันภัยเป็นกลไกบริหารความเสี่ยงที่ประชาชนเข้าถึงได้ เชื่อถือได้ และสามารถรองรับ ความเปลี่ยนแปลงในอนาคต พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่ความมั่นคง โปร่งใส และยั่งยืนอย่างแท้จริง 
 

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ