เมื่อ : 31 มี.ค. 2566

 

จากอดีต นายแบบ นักแสดง  ผู้เชี่ยวชาญการแต่งหน้า  ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสี และสไตล์  อาจารย์ วิทยากร  แฟชั่นกูรู  คอลัมนิสต์  ผู้ดำเนินรายการ  ที่ปรึกษาด้านภาพลักษณ์
และปัจจุบันคือ “ที่ปรึกษากรมหม่อนไหม ด้านเครื่องแต่งกายและแฟชั่นประยุกต์”  
 

มาสู่   “ศิลปินนักพันผ้า” มืออาชีพ   ที่คิดค้นศาสตร์การนำผ้าไหมไทยทั้งผืนมาพันผูกให้เป็นชุดสวยบนเรือนร่างของคนในรูปแบบเครื่องนุ่งห่ม  ด้วยจุดประสงค์หลักในการคิดค้นวิธีรักษาผืนผ้าไหมไทยทั้งผืนนี้ เกิดจากความรักความหวงแหนผืนผ้าไหมทอมือของไทยที่ต้องสูญหายไปกับการถูดตัดเย็บเพื่อใช้งานนุ่งห่ม   ต้องบอกว่า ผ้าไหมไทยทอมือนั้นทุกผืนจะมีแค่ผืนเดียวในโลกเท่านั้น ต่อให้คนเดิมเป็นคนทอก็จะไม่เหมือนผืนเดิมด้วยปัจจัยหลายๆอย่างหลายๆด้าน โดยเฉพาะการย้อมด้วยสีธรรมชาติก็จะยิ่งยากมาก เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถทำให้ได้เหมือนเดิมเลยทีเดียว

 

เพราะผ้าทุกผืนที่มีขึ้นมานั้น ต้องผ่านการทุ่มเทตั้งแต่  การปลูกหม่อน  เลี้ยงไหม  มามัดเส้นใยแล้วย้อมสีเพื่อไปทอเส้นใยไหมให้กลายเป็นผืนผ้าอันวิจิตรและงดงาม   ซึ่งเมื่อโดนนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าแล้วบางครั้งก็เกิดการที่ไม่สวยงามเท่าที่ควรอาจจะใช้งานได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ถูกลืมไปทิ้งให้อยู่ในตู้เก็บเสื้อผ้าเพราะด้วยรูปแบบที่ไม่เหมาะสมกับสมัยนิยม แฟชั่นประยุกต์แบบสากล 

 

 

 ด้วยจุดประสงค์หลักในการคิดค้นวิธีรักษาผืนผ้าไหมไทยทั้งผืนนี้ เกิดจากความรักความหวงแหนผืนผ้าไหมทอมือของไทยที่ต้องสูญหายไปกับการถูดตัดเย็บเพื่อใช้งานนุ่งห่ม   ต้องบอกว่า ผ้าไหมไทยทอมือนั้นทุกผืนจะมีแค่ผืนเดียวในโลกเท่านั้น ต่อให้คนเดิมเป็นคนทอก็จะไม่เหมือนผืนเดิมด้วยปัจจัยหลายๆอย่างหลายๆด้าน โดยเฉพาะการย้อมด้วยสีธรรมชาติก็จะยิ่งยากมาก เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถทำให้ได้เหมือนเดิมเลยทีเดียว

 

เพราะผ้าทุกผืนที่มีขึ้นมานั้น ต้องผ่านการทุ่มเทตั้งแต่  การปลูกหม่อน  เลี้ยงไหม  มามัดเส้นใยแล้วย้อมสีเพื่อไปทอเส้นใยไหมให้กลายเป็นผืนผ้าอันวิจิตรและงดงาม   ซึ่งเมื่อโดนนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าแล้วบางครั้งก็เกิดการที่ไม่สวยงามเท่าที่ควรอาจจะใช้งานได้แค่ไม่กี่ครั้งก็ถูกลืมไปทิ้งให้อยู่ในตู้เก็บเสื้อผ้าเพราะด้วยรูปแบบที่ไม่เหมาะสมกับสมัยนิยม 
 

 

ดังนั้นอาจารย์โสภาสจึงคิดค้นวิธีการเก็บรักษาผืนผ้าไหมไทยทอมือทั้งผืนเอาไว้ให้ทรงคุณค่าและเป็นมรดกให้กับคนรุ่นใหม่ได้เห็นถึงความสวยงาม ฝีมือ การเอาใจใส่  ความอดทน ให้มีความรักความหวงแหนมรดกด้านหัตถกรรมของคนไทย เพราะ “ฝีมือคนไทยไม่เคยแพ้ชาติใดในโลก”

 

เทคนิคการผูกพันผืนผ้าทั้งผืนให้เป็นชุดนั้น อาจารย์โสภาส ได้นำเอาเทคนิค “เครื่องนุ่งห่มของไทยสมัยก่อน”มาเป็นหลักในการสร้างงาน แล้วนำเอาเทคนิคการเอาวิธี ”Drape” ที่หมายถึง “ศิลปะที่ใช้การตกถ่วงของผ้ามาประดับอันเป็นเทคนิคการทำเสื้อแบบกูตูร์ ที่ต้องอาศัยทั้งความรู้ ความชำนาญและความปราณีต”  มาผสมผสานกับ

 

งาน Haute couture(โอตกูตูร์) ที่หมายถึง “การสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายให้เข้ากับผู้สวมใส่โดยเฉพาะ โอตกูตูร์ เป็นแฟชั่นชั้นสูงที่ทำขึ้นด้วยมือตั้งแต่ต้นจนจบ ทำอย่างมีคุณภาพ มีราคาสูง และบางครั้งก็ใช้ใยผ้าที่ไม่ธรรมดาและการเย็บอย่างบรรจงในรายละเอียด” ซึ่งงานที่กล่าวนั้นเป็นงานที่สุดวิเศษของทางยุโรป ที่อาจารย์โสภาสได้ยึดหลักแนวคิด เครื่องนุ่งห่มของไทยเรามาแต่ครั้งอดีตนั่นเอง  “คนไทยเรา..นุ่งห่มโดยไม่มีการตัดเย็บมาก่อนและใช้เทคนิคการตกถ่วงของผ้ามาใช้

 

อาจารย์โสภาสได้นำผ้าไหมไทยไปเผยแพร่ในต่างประเทศด้วยตัวเองทุกครั้ง และได้สร้างงานที่พิเศษหลายๆงาน   อย่างงานใช้ผ้าไหมทั้งหมด 24 เมตรผูกพันบนตัวนางแบบที่เป็นคอลเลคชั่นน่าประทับให้กับนิตยสารแฟชั่นดัง หัวฝรั่งเศสมาแล้ว   สร้างงานผูกพันงาน”ตรานกยูงพระราชทานของกรมหม่อนไหม” ที่ใช้นางแบบเพียงคนเดียวแต่ทำให้ดูแตกต่างไปสี่รูปแบบ  งานแฟชั่นโชว์ของสมาคม Woman to Woman และสมาคม ซอนต้า กรุงเทพ 3  ที่ผูกพันคนตัวนางแบบกว่า 40 ชีวิต และอีกมากมายที่พบเห็นกัน.

       

อาจารย์โสภาส  ได้ฝากถึง นักออกแบบเสื้อผ้าคนรุ่นใหม่ว่า .ขอเป็นกำลังใจและขอชื่นชมว่า คนไทยรุ่นใหม่เป็นคนที่เก่ง มีประสิทธิภาพ แต่ขอให้หันกลับมาเชิดชู”ผ้าไหมไทย”ของเราให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ในรูปแบบที่ร่วมสมัย  ขอให้เรียนรู้เรื่อง  “ผิวสัมผัส” ของผืนผ้า เรียนรูเรื่อง body Line ของคนที่เราต้องการให้เขาสวมใส่หรือนุ่งห่มเพื่อให้เกิดความกลมกลืนของรูปร่างและเสื้อผ้า  ขอให้เรียนรู้ให้จริงอย่าหยุดกับที่ เพราะโลกมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ  อยากเห็นผ้าไหมไทยเรานั้นอยู่บนเวทีสากลอย่างภาคภูมิใจ.

 

สำหรับคนที่ชื่นชมผ้าไหมไทย  ก็เป็นกำลังใจให้ทำความรู้จักในผืนผ้าไหมไทยให้มากกว่าที่ผ่านมา   พยายามอย่าเลียนแบบรูปแบบเดิมๆ โลกหมุนผ่านมาและหมุนต่อไปเรื่อยๆ “จงพยายามนำเอาแฟชั่นแบบไทยๆ มาประยุกต์ใช้ให้เข้ากลมกลืนกับแฟชั่นในยุคปัจจุบันให้ได้”จะดีที่สุด

   

“ศิลปินนักพันผ้า”  เป็นศิลปะรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีขึ้นในเมืองไทย   หลายคนอาจจะคิดว่าใครก็พันๆกันได้  แต่ความจริงแล้ว  ต้องใช้ความรู้ ทักษะ ความปราณีต ในการสร้างงานอย่างมาก   เนื้อผ้า  ลวดลาย รูปแบบของรูปทรงที่ต้องสร้างขึ้น ต้องอาศัย “สมาธิ  องค์ความรู้  ประสบการณ์และที่สำคัญคือ ความรัก”  

     

 วันนี้เรามี ”ศิลปินนักพันผ้า” ที่เป็นคนไทยคนแรกของประเทศไทยแล้ว  ศิลปะแขนงนี้ที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นในโลกใบนี้.กับผู้ชายที่รักและหวงแหนผืนผ้าไหมไทยอย่างสุดหัวใจ  ผู้ชายที่ทุกคนในวงการผ้าไหมไทยรู้จักกันดี 


“โสภาส ณ ตะกั่วทุ่ง..ศิลปินนักพันผ้า หนึ่งเดียวในไทย